ยาทาหน้ายางพารา

"ยาทาหน้ายางพารา"

 การแก้ปัญหาหน้ายางตายนึ่ง

และการดูแลรักษา

อย่างมีประสิทธิภาพ


หนึ่งในปัญหาหลัก ที่เกษตรกรชาวสวนยางพาราต้องเผชิญคือ ปัญหาหน้ายางตายนึ่ง ซึ่งเป็นภาวะที่ต้นยางไม่สามารถผลิตน้ำยางได้ตามปกติ โดยสาเหตุของปัญหานี้มาจากหลายปัจจัย เช่น..

1.การกรีดยางที่ไม่เหมาะสม

  • การกรีดยางที่ไม่เหมาะสม เช่น การกรีดลึกเกินไปหรือการกรีดซ้ำที่บริเวณเดิมบ่อยครั้ง ทำให้เซลล์ผลิตน้ำยางเสียหายและลดอายุการใช้งานของต้นยาง นอกจากนี้ การกรีดผิดมุมยังสามารถทำให้เกิดแผลที่ไม่สม่ำเสมอ ส่งผลให้การผลิตน้ำยางลดลง และต้นยางฟื้นตัวช้ากว่าปกติ อีกทั้งยังอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อจากเชื้อราและแบคทีเรียที่เข้าสู่รอยกรีดได้ง่ายขึ้น

2.การระบาดของโรคและแมลงศัตรูพืช

  • การระบาดของโรคและแมลงศัตรูพืช เช่น โรคใบร่วงจากเชื้อราไฟทอปธอรา โรครากขาว และโรคเส้นดำ ซึ่งส่งผลให้ต้นยางอ่อนแอและเสี่ยงต่อการเกิดหน้ายางตายนึ่ง นอกจากนี้ แมลงศัตรูสำคัญที่ทำลายต้นยาง ได้แก่ หนอนเจาะลำต้น เพลี้ยแป้ง และปลวก ซึ่งสามารถสร้างความเสียหายต่อระบบรากและลำต้นได้ หากไม่ได้รับการควบคุมที่เหมาะสม อาจทำให้ต้นยางชะงักการเจริญเติบโตและผลผลิตลดลง

3.สภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย

  • สภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย ฝนตกชุกหรือแห้งแล้งเกินไป ส่งผลต่อสุขภาพของต้นยางโดยตรง โดยในช่วงที่ฝนตกชุกอาจทำให้เกิดน้ำขังบริเวณราก ทำให้รากเน่าและเสี่ยงต่อการติดเชื้อรา เช่น โรครากขาวและรากเน่า ในขณะที่สภาพอากาศแห้งแล้งจะทำให้ต้นยางขาดน้ำและธาตุอาหารที่จำเป็น ส่งผลให้การผลิตน้ำยางลดลง ใบยางอาจแห้งและร่วงก่อนกำหนด การปรับตัวของต้นยางต่อสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงนั้นต้องอาศัยการจัดการที่เหมาะสม เช่น การปรับปรุงระบบระบายน้ำในสวนยาง และการให้น้ำในช่วงฤดูแล้งเพื่อรักษาความชื้นในดินอย่างเพียงพอ

4.การขาดสารอาหาร

  • การขาดสารอาหาร ดินที่ขาดธาตุอาหารสำคัญ เช่น ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม อาจส่งผลให้ต้นยางมีการเจริญเติบโตที่ช้า ใบเหลือง และผลิตน้ำยางได้น้อยลง การปรับปรุงธาตุอาหารในดินสามารถทำได้โดยใช้สูตรปุ๋ยที่เหมาะสม เช่น ปุ๋ยสูตร 20-10-12 สำหรับยางอายุ 1-3 ปี และปุ๋ยสูตร 30-5-18 สำหรับยางที่เปิดกรีดแล้ว ควรใส่ปุ๋ยตามระยะเวลาที่เหมาะสม เช่น ใส่ปุ๋ย 2 ครั้งต่อปี ในช่วงต้นฤดูฝนและปลายฤดูฝน เพื่อให้ต้นยางสามารถดูดซึมสารอาหารได้อย่างเต็มที่และต่อเนื่อง

5.การจัดการสวนที่ไม่ถูกต้อง

  • การจัดการสวนที่ไม่ถูกต้อง หมายถึง การดำเนินการในกระบวนการดูแลสวนยางที่ขาดความรู้ความเข้าใจ เช่น การให้ปุ๋ยในอัตราที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของต้นยาง หรือการให้น้ำมากหรือน้อยเกินไป ซึ่งอาจทำให้ดินขาดความสมดุลในด้านโครงสร้างและธาตุอาหารที่จำเป็น การให้น้ำที่ไม่สม่ำเสมออาจส่งผลต่อความชื้นในดิน ทำให้รากยางพาราอ่อนแอ และลดประสิทธิภาพของการดูดซึมธาตุอาหาร ดังนั้น การจัดการสวนที่เหมาะสมจึงควรดำเนินการตามหลักวิชาการ เช่น การวิเคราะห์ดินก่อนการให้ปุ๋ยและการจัดทำแผนการให้น้ำที่เหมาะสมตามช่วงฤดูกาล เพื่อรักษาสุขภาพของต้นยางและเพิ่มผลผลิตอย่างยั่งยืน

6.อายุของต้นยาง

  • อายุของต้นยาง ยางพาราที่มีอายุมากกว่า 20 ปีมักเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาหน้ายางตายนึ่งได้ง่ายขึ้น เนื่องจากเซลล์ผลิตน้ำยางเริ่มเสื่อมสภาพและมีการสะสมของสารตกค้างในเนื้อเยื่อ ทำให้ความสามารถในการผลิตน้ำยางลดลง นอกจากนี้ เปลือกของต้นยางที่มีอายุเยอะมักมีความแข็งและหนาขึ้น ส่งผลให้การกรีดยางมีประสิทธิภาพลดลงและต้องใช้แรงกรีดมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดบาดแผลที่ทำให้เชื้อโรคและแมลงเข้าทำลายได้ง่ายขึ้น การดูแลต้นยางที่มีอายุมากจึงควรมุ่งเน้นไปที่การบำรุงด้วยปุ๋ยธาตุอาหารที่เหมาะสม การใช้ยาทาหน้ายางที่มีสารฟื้นฟูเซลล์ และการกรีดอย่างถูกวิธีเพื่อลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น

แนวทางการแก้ไขปัญหาหน้ายางตายนึ่ง

การแก้ไขปัญหา หน้ายางตายนึ่ง สามารถทำได้หลายวิธีการ ควบคู่ไปกับการดูแลต้นยางให้ถูกวิธี ซึ่งประกอบด้วยแนวทางต่อไปนี้

1. การบำรุงต้นยางด้วยปุ๋ยและธาตุอาหารที่เหมาะสม

  • ปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยเคมีควรใช้ในสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของต้นยาง
  • ควรมีการปรับปรุงดินให้มีสภาพที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของต้นยาง
  • ใช้ปุ๋ยที่มีธาตุอาหารหลักและรอง เช่น แคลเซียม โบรอน และแมกนีเซียม เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของเปลือกยาง

2. การป้องกันโรคและแมลงศัตรูพืช

  • ใช้มาตรการป้องกันเชิงรุกโดยการฉีดพ่นสารชีวภัณฑ์หรือสารเคมีที่ปลอดภัย
  • หมั่นตรวจสอบสวนยางอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค
  • แนะนำให้ใช้สารชีวภาพเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

3. การกรีดยางที่ถูกต้อง

  • ควรเรียนรู้และปฏิบัติตามแนวทางการกรีดที่เหมาะสม เพื่อลดความเสียหายของหน้ายาง
  • หลีกเลี่ยงการกรีดในช่วงที่ต้นยางมีความเครียด เช่น ในช่วงฤดูแล้ง
  • การเลือกมุมกรีดที่ถูกต้องและไม่กรีดซ้ำในบริเวณเดิม

4. การดูแลและบำรุงรักษาหน้ายาง

  • การใช้ยาทาหน้ายางเป็นประจำทุกฤดูกาล เพื่อช่วยป้องกันและซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดขึ้น
  • การตรวจสอบสุขภาพต้นยางทุกเดือน เพื่อเฝ้าระวังปัญหาที่อาจเกิดขึ้น

 << ยังมีทางออกอีกทางนั่นคือ >>

เซนเดอร์

ยาทาหน้ายางพารา

“ทวงคืนน้ำยางที่หายไป!

แก้ปัญหาหน้ายางตายนึ่ง

ด้วยยาทาหน้ายาง เซนเดอร์”

เซนเดอร์

ยาทาหน้ายางพารา

สำหรับเกษตรกร ชาวสวนยางพารา ที่พบกับปัญหา

"หน้ายางตายนึ่ง" ถือเป็นหนึ่งในอุปสรรคใหญ่ที่ทำให้ผลผลิตลดลงอย่างมีนัยสำคัญ. สาเหตุของปัญหานี้ส่วนใหญ่มาจากเชื้อราที่เข้าทำลายบริเวณหน้ายาง หรือ การดูและที่ไม่สมบูรณ์ หรือ อื่นๆ ที่ได้กล่าวมาข้างต้น. ส่งผลให้ยางไม่สามารถให้น้ำยาง ได้ตามปกติ ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้ต้นยางเสียหายถาวร และกระทบต่อรายได้ของเกษตรกร.


 "เซนเดอร์" ยาทาหน้ายางพารา ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยเฉพาะ ด้วยคุณสมบัติพิเศษที่ช่วยกำจัดเชื้อรา และ การบำรุงหน้ายาง อย่างมีประสิทธิภาพ และป้องกันการลุกลามของโรคไปยังส่วนอื่น ๆ ของต้นยาง การใช้งานง่าย เพียงทายาลงบนบริเวณ หน้ายางที่กรีดแล้ว เซนเดอร์ จะซึมเข้าสู่เนื้อเยื่อ ด้วยความเป็น Nano technology และเริ่มออกฤทธิ์ได้อย่างรวดเร็ว และ มีประสิทธิภาพ โดยไร้สารเคมีสังเคราะห์ ปลอดภัยกับผู้กรีด. 


นอกจากนี้ "เซนเดอร์" ยังช่วยฟื้นฟูหน้ายางให้กลับมาให้น้ำยางได้ตามปกติ ลดการสูญเสียของเปลือกยาง และยืดอายุการกรีดให้นานขึ้น ซึ่งเป็นการเพิ่มผลผลิตในระยะยาวได้อีกด้วย.



1 ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จัก Nano-SynOligosaccharide ที่อยู่ใน เซนเดอร์ ว่าคืออะไร?

  • Nano-Synoligosaccharide เป็นผลิตภัณฑ์ที่สกัดมาจากวัตถุดิบธรรมชาติ เช่น เปลือกผลไม้หรือเปลือกสัตว์น้ำ บางชนิด แล้วนำมาผ่านกระบวนการทางเทคโนโลยีชีวภาพ (Bio-Technology) และนาโนเทคโนโลยี (Nano-Technology) ให้มีขนาดอนุภาคเล็กในระดับนาโน คือ ประมาณ 60–80 นาโนเมตร
  • มีจุดประสงค์หลักเพื่อใช้กับต้นยางพารา โดยการทาหรือพ่นสเปรย์ บริเวณหน้ายาง เพื่อส่งเสริมกระบวนการสร้างโดยการสังเคราะห์น้ำยาง (Latex Synthesis) และกระตุ้นให้น้ำ ยางไหลดีขึ้น ส่งผลให้ได้ปริมาณน้ำยาง และ น้ำหนักยางมากขึ้น


2. ทำไม SynOligosaccharide (โดยทั่วไปเป็นคำที่ใช้เรียกกลุ่มของ “โอลิโกแซ็กคาไรด์ (Oligosaccharide) ถึงช่วยส่งเสริมการสังเคราะห์น้ำยางได้?

  • โดยทั่วไปแล้ว Oligosaccharide (โอลิโกแซ็กคาไรด์) หมายถึง น้ำตาลโมเลกุลขนาดกลางที่ประกอบด้วยหน่วยของน้ำตาล (Monosaccharide) หลายหน่วยเชื่อมต่อกัน.
  • การที่พืชได้รับ สารโอลิโกแซ็กคาไรด์บางชนิด จะทำให้ช่วยกระตุ้น (Elicitor) ระบบภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติของพืช ทำให้พืชแข็งแรงและกระตุ้นกระบวนการสังเคราะห์สารสำคัญในต้น เช่น เอนไซม์หรือฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างน้ำยาง.
  • เมื่อใช้ในรูปนาโน (Nano) ซึ่งเป็นอนุภาคขนาดเล็กมาก พืชจะดูดซึมได้ง่ายขึ้น ทำให้เห็นผลในการกระตุ้นและส่งเสริมกระบวนการต่างๆ ได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น.


3. “Pectooligosaccharide, Moltooligosaccharide และ Chitooligosaccharide” คืออะไร?

  • 3 กลุ่มนี้ คือชื่อกลุ่มของ โอลิโกแซ็กคาไรด์ (Oligosaccharide) ที่ทางเรานำมาจากแหล่งวัตถุดิบแตกต่างกัน เพื่อการทำงานที่สมบูรณ์ โดยมีรายละเอียดดังนี้
  1. Pectooligosaccharide

        ○ เกิดจากการย่อยสลาย “เพกติน (Pectin)” ซึ่งเป็นสารที่พบมากในผนังเซลล์พืช ผลไม้หลายชนิด เช่น ส้ม แอปเปิล หรือเปลือกผลไม้ทั่วไป

        ○ เพกตินเมื่อถูกย่อยให้โมเลกุลสั้นลงจะได้โอลิโกแซ็กคาไรด์สายสั้น ที่สามารถมีบทบาทเป็นสารกระตุ้นให้พืชสร้างสารต้านทานโรคได้ดีขึ้น และอาจส่งเสริมการเจริญเติบโตของต้นยาง

    2. Moltooligosaccharide

        ○ มักได้จากกระบวนการย่อยสลาย “แป้ง (Starch)” หรือ “มอลโตส (Maltose)” ให้กลายเป็นโอลิโกแซ็กคาไรด์สายสั้น

        ○ สารกลุ่มนี้มักเกี่ยวข้องกับการเพิ่มแหล่งพลังงานให้เซลล์พืช และอาจทำำงานร่วมกับฮอร์โมนพืชในการกระตุ้นให้เกิดการสร้างน้ำ้ำ ยางและเพิ่มภูมิคุ้มกัน

    3. Chitooligosaccharide

        ○ มาจาก “ไคติน (Chitin)” ซึ่งพบได้ในเปลือกกุ้ง ปู หรือโครงสร้างเปลือกภายนอกของแมลง

        ○ เมื่อไคตินถูกย่อยสลายจะได้ “ไคโตซาน (Chitosan)” หรือ “ไคโตโอลิโกแซ็กคาไรด์ (Chitooligosaccharide)”

        ○ สารนี้มีผลงานวิจัยสนับสนุนว่าช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของพืช ป้องกันเชื้อโรค และส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช (เช่น ช่วยกระตุ้นการสร้างเอนไซม์และสารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ)


 4. กลไกในการที่ เซนเดอร์ ทำงานกับ ต้นยางพารา มีดังนี้

      เมื่อทา/พ่น Nano-Synoligosaccharide  ที่มี โอลิโกแซ็กคาไรด์ เหล่านี้ลงบนหน้ายาง ก็จะทำให้

  • จะไปกระตุ้น (Elicitor) ให้ต้นยางสร้างสารสำคัญในการป้องกันโรค และยัง ส่งเสริมการสร้างและสังเคราะห์น้ำยาง (Latex Synthesis) โดยธรรมชาติ.
  • ช่วยเพิ่มการไหลของน้ำยาง (Latex Flow) เนื่องจากพืชมีพลังงาน และฮอร์โมน เพียงพอในการผลิต.
  • เพิ่มปริมาณและน้ำหนัก {มวลเนื้อยาง (Latex Yield)} ของน้ำยาง ทำให้ผลผลิตยางพาราเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน.


5. สรุปประโยชน์หลัก ของ เซนเดอร์

  • เพิ่มปริมาณและน้ำหนัก และ น้ำยาง [Latex Yield].
  • ส่งเสริมให้ต้นยาง สร้าง และ มีภูมิต้านทาน ต่อโรคได้ที่ดียิ่งขึ้น.
  • ลดการใช้สารเคมีแรงๆ  ในการกระตุ้นน้ำ ยาง เช่น เอทีฟอน
  • สนับสนุนการเติบโตและสุขภาพโดยรวมของต้นยาง
  • ยืดอายุต้นยาง เพื่อทำให้การกรีดยางได้นานยิ่งขึ้น
  • ทำให้หน้ายางนุ่ม ชุ่มชื่น กรีดง่าย ผิวไม่แห้งกระด้าง คนกรีดยางทำงานสะดวกรวดเร็ว.

มาเจาะลึก ส่วนประกอบการทำงานของ NANO-SYNOLIGOSACCHARIDE (NANO-SOS) ว่ามีกลไกการทำงานอย่างไร ?

      NANO-SYNOLIGOSACCHARIDE หรือ (NANO-SOS) เป็นสารที่ประกอบด้วยโมเลกุล โอลิโกแซ็กคาไรด์ ขนาดเล็ก ในระดับนาโน ซึ่งมีจุดเด่นในการทำงานสองกลไกหลัก ได้แก่

     - Elicitor (สารชักนำ)

     - Precursor (สารตั้งต้น) 

โดยสามารถอธิบายได้ดังนี้:

     1. Elicitor (สารชักนำ)

      "Induce plant innate immune activity" (ชักนำ ให้พืช เปิดภูมิคุ้มกันที่มีมาจากต้นกำเหนิดให้แสดงผลออกมา)

       ○ “Elicitor” ในทางวิชาการคือสารที่เมื่อพืชรับรู้ได้ จะทำหน้าที่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติของพืช (Plant Innate Immune System)

       ○ พืชจะตอบสนองโดยการผลิตสารต้านทานโรค เช่น เอนไซม์ ปัจจัยต้านเชื้อรา หรือสารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ  ทำให้พืชแข็งแรงขึ้นและทนทานต่อโรคพืชได้ดีขึ้น โดยธรรมชาติ จากตัวเอง.

       "Induce latex synthesis activity" (ชักนำ ให้เกิดการสร้างและสังเคราะห์น้ำยางขึ้น โดยธรรมชาติ)

       ○ นอกจากกระตุ้นภูมิคุ้มกันแล้ว Elicitor ยังช่วยกระตุ้นกระบวนการสร้างและสังเคราะห์น้ำยาง (Latex Synthesis) โดยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์และฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตน้ำยาง และการไหลของน้ำยาง ด้วยตัวเอง.

       ○ ส่งผลให้ ได้ปริมาณ และน้ำหนัก ของ น้ำยาง (Latex Yield) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตามหลักการทำงานของ เซนเดอร์.

     2. Precursor (สารตั้งต้น)

      "Substances for used in the latex production process." (สร้างสารสำคัญในการใช้ เป็นกระบวนการผลิต เนื้อยาง และ น้ำยาง)

  • ในบริบทของการผลิตยางพารา “Precursor (สารตั้งต้น)” หมายถึง สารหรือโมเลกุลบางชนิดที่พืชสามารถนำไปใช้เป็นวัตถุดิบ (Raw Material) ในกระบวนการสร้างยางหรือสารประกอบที่เกี่ยวข้องกับการหลั่งน้ำยาง
  • เมื่อพืชได้รับ Nano-Synoligosaccharide จึงมี “สารตั้งต้น” เพิ่มขึ้น จึงทำให้กระบวนการสร้างน้ำยาง มีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถผลิตน้ำยางได้อย่างต่อเนื่อง และยาวนาน ซึ่งเป็นผลทำให้ได้ น้ำหนักยางเนื้อแน่น และ น้ำยางจำนวนมาก ส่งผลให้ขายได้ราคาดีนั่นเอง.

  สรุปภาพรวม

  • Elicitor (สารกระตุ้น) :  ชักนำและกระตุ้นการเปิดระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งทำให้ต้นยางพาราไม่มีโรคมารบกวน หน้ายางแข็งแรงเนื้อเปลือกยางนุ่มชุ่มฉ่ำ ส่งผลต่อการสร้างและสังเคราะห์เนือยาง และสร้างน้ำยางนั่นเอง.
  • Precursor (สารตั้งต้น) : เพิ่ม วัตถุดิบในกระบวนการ สร้างและสังเคราะห์เนื้อยาง และ น้ำยาง อย่างมีนัยสำคัญ
  • เมื่อใช้ Nano-Synoligosaccharide (Nano-SOS) กับต้นยางพารา (โดยการทาหรือพ่นบริเวณหน้ายาง) จึงสามารถชักนำและกระตุ้น การป้องกันโรคพืชและการสร้าง ยางพาราได้พร้อมกัน ส่งผลให้ได้ผลผลิตที่สูงขึ้นและมีคุณภาพดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม และ ยั่งยืน.

ทางเรา ได้นำเทคโนโลยีชีวภาพ (Bio-Technology) และนาโนเทคโนโลยี (Nano-Technology (0.000000001))

 ในการสกัดและแปรรูป “เศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร” (Agricultural Waste) เช่น เปลือกส้ม เปลือกมันฝรั่ง เปลือกกุ้ง ให้กลายเป็นสารที่มีประโยชน์ โดยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ จะสามารถดึง โมเลกุลสารสำคัญ ออกจาก วัสดุเหลือใช้มาใช้ในภาคการเกษตร ได้อย่างมีประสิทธิภาพ.


ขนาดโมเลกุล ของ NANO-SYNOLIGOSACCHARIDE

     ● มีขนาดอนุภาคประมาณ 60–80 nm  หมายถึงโมเลกุลของ Nano-Synoligosaccharide มีขนาดเล็กระดับนาโนเมตร (1 นาโนเมตร = 1 ในพันล้านส่วนของเมตร) จึงสามารถแทรกซึมเข้าสู่พืชได้ง่าย

     ● Can ready adsorb into plant.

        ○ หมายถึง เมื่อพ่นหรือทาบนต้นพืช สารนี้สามารถถูกดูดซึม (adsorb/absorb) ผ่านเนื้อเยื่อของต้นยางพารา และนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว เพราะขนาดอนุภาคเล็กมากๆ

     ● ภาพที่เห็นเป็นการถ่ายด้วยกล้องจุลทรรศน์ อิเล็กตรอนแบบส่องกราด (Field Emission Scanning Electron Microscope) ที่แสดงให้เห็นขนาดจริงของโมเลกุลในหน่วยนาโน

การทดสอบการ การโดนโจมตีจากเชื้อรา ด้วย เซนเดอร์ (NANO-SYNOLIGOSACCHARIDE TESTING)

         ● “Colletotrichum gloeosporioides” และ “Pythium aphanidermatum” คือเชื้อราสาเหตุโรคพืชที่พบได้บ่อยในพืชหลายชนิด เช่น โรคแอนแทรคโนส (ในกรณี Colletotrichum) และโรคเน่า (ในกรณี Pythium)

         ● “Directly protection by inhibitory action on the hypha growth of pathogenic fungi and inhibiting spore germination.”

         ○ หมายถึง Nano-Synoligosaccharide อาจออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเส้นใยเชื้อรา (Hypha) และป้องกันการงอกของสปอร์เชื้อรา จึงช่วยลดการเกิดโรคในพืช

         ● การทดสอบที่แสดงในภาพเป็นการทดลองความเข้มข้นต่างๆ (Control, 0.1%, 0.2%, 0.3%, 0.4%, 0.5%) เพื่อดูระดับประสิทธิภาพในการยับยั้งเชื้อรา

ปฎิกริยาโต้ตอบ ในต้นยาง INTERACTION IN RUBBER TREE

● หลังจากได้มีการใช้ เซนเดอร์ (Nano-Synoligosaccharide (NANO-SOS)) กับต้นยางพารา โดยการฉีดพ่นบริเวณหน้ายาง

  1. เกิดสภาวะชักนำ ( Elicitor ) โดย

     ○ พืชได้ทำการ ผลิตโมเลกุล การส่งสัญญาณ 3 ชนิด (Plant produce three signaling molecules.) คือ

        ■ Salicylic acid (SA)

        ■ Jasmonic acid (JA)

        ■ Ethylene (ET)

     ○ ซึ่งเป็นกุญแจที่มีบทบาทสำคัญในด้านต่างๆ ของการชักนำให้พืชมีภูมิคุ้มกัน ป้องกันตัวเอง (Key roles in various aspects of plant defense)

        ■ ทั้ง SA, JA และ ET เป็นโมเลกุลสัญญาณ (Signaling Molecules) ที่พืชสร้างขึ้นเมื่อได้รับการกระตุ้น (Elicitor) โดยจะมีบทบาทสำคัญในระบบภูมิคุ้มกันของพืช เช่น ป้องกันโรคพืช และแมลงศัตรูพืช.

        ○ โดย เอทิลีน (Ethylene) ถูกระบุและบ่งชี้ว่า สามารถกระตุ้นการผลิตน้ำยางได้ (Ethylene was identified to stimulate the latex production)

        ■ หมายถึง มีงานวิจัยที่ยืนยันว่าเอทิลีน (Ethylene) สามารถกระตุ้นให้ต้นยางพาราสร้างน้ำยางมากขึ้น ส่งผลให้เพิ่มปริมาณยาง (latex yield) ได้อย่างมีนัยสำคัญ.


   2. เกิดการสร้างสารตั้งต้น ( Precursor )

        “Oligosaccharide in NANO-SOS is a substances for used in the latex production process.”

        คำว่า “Precursor” หรือ “สารตั้งต้น” หมายถึง สารที่ต้นยางพารา สามารถนำไปใช้เป็น วัตถุดิบ ในการผลิตน้ำยาง ได้ทันที จึงช่วยให้กระบวนการสังเคราะห์และการสร้าง รวมถึงการไหลของน้ำยางพารา เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างแน่นอน.


สรุป

“Plant produce three signaling molecules.”

   หมายถึง “ต้นยางพารา สร้างโมเลกุลสัญญาณ 3 ชนิด” ซึ่งประกอบด้วย Salicylic acid (SA), Jasmonic acid (JA) และ Ethylene (ET) โดยแต่ละชนิด

มีบทบาทสำคัญในระบบการกระตุ้นปฏิกิริยาตอบสนองของต้นยาง ดังนี้:

1. Salicylic acid (SA)

    ○ เป็นสารประกอบฟีนอล (Phenolic compound) ที่พืชสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความเครียดหรือการติดเชื้อ (Pathogen infection)

    ○ ช่วยกระตุ้นการแสดงออกของยีนป้องกันโรค (Pathogenesis-related genes) และกระบวนการป้องกันอื่นๆ ทำให้พืชมีภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคเพิ่มขึ้น

    ○ มีบทบาทในระบบภูมิคุ้มกันแบบ สารกระตุ้นภูมิต้านทานโรคพืช โดยวิธีเลียนแบบธรรมชาติ (Systemic Acquired Resistance (SAR)) ซึ่งช่วยให้ภูมิคุ้มกันแผ่ขยายไปยังส่วนต่างๆ ของพืช.

2. Jasmonic acid (JA)

    ○ เป็นฮอร์โมนพืชในกลุ่มสารประกอบที่เรียกว่า “ออกโซลิปิน (Oxylipin)” เกิดจากการออกซิเดชันของกรดไขมันในพืช

    ○ มีบทบาทสำคัญในการป้องกันแมลงและเชื้อโรค รวมถึงการฟื้นฟู สภาพเซลล์หลังการบาดเจ็บ ทำให้แผลจากการกรีด สมานเซลล์ได้เร็ว.

    ○ ช่วยควบคุมกระบวนการทางสรีรวิทยา เช่น การปิดเปิดปากใบ การแก่ของใบ และการตอบสนองต่อสภาวะเครียด (Stress response)

3. Ethylene (ET)

    ○ เป็นฮอร์โมนในรูปของแก๊ส (Gaseous hormone) ที่มีบทบาทสำคัญในกระบวนการสุกของผลไม้ การหลุดร่วงของใบ การตอบสนองต่อความเครียด และการป้องกันโรค

    ○ ในยางพารา Ethylene มีบทบาทกระตุ้นกระบวนการสร้างและสังเคราะห์น้ำยาง (Latex synthesis) และช่วยเพิ่มปริมาณน้ำยาง (Latex yield) ได้

    ○ นอกจากนี้ยังมีส่วนร่วมในการส่งสัญญาณให้พืชสร้างเอนไซม์หรือสารต้านทานโรค เพื่อปกป้องต้นพืชจากปัจจัยภายนอก เช่น แมลงโจมตี สภาพอากาศร้อน - หนาว - แห้งแล้งเกินไป.

สรุปความสำคัญร่วม

● ทั้ง SA, JA และ ET ต่างก็เป็น “Signaling Molecules” หรือโมเลกุลสัญญาณ ที่ต้นยางพาราใช้เพื่อสื่อสารภายในเซลล์และระหว่างเซลล์เพื่อควบคุมกระบวนการป้องกันโรค ตอบสนองต่อสภาพแวดล้อม รวมถึงส่งเสริมการเจริญเติบโตในหลายด้าน

“NANO-SOS – Induce Ethylene synthesis activity.”

●  แปลว่า NANO-SOS สามารถกระตุ้นการสังเคราะห์เอทิลีนในต้นยางพารา ซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกสำำคัญที่ช่วยเพิ่มการผลิตน้ำยาง

กระบวนการสังเคราะห์เอทิลีน (Ethylene) จาก Methionine

Methionine + ATP → PPi + Pi → S-ADENOSYL-METHIONINE (ADO-MET)

ACC (Amino-Cyclopropane Carboxylate)

↓ (ผ่านปฏิกิริยา/Enzymatic reaction)

H2O2 → CO2 + HCN + H2O

Ethylene

● Methionine (เมไธโอนีน) และ ATP (อะดีโนซีนไตรฟอสเฟต) เป็นสารตั้งต้น (Substrates) ในการสร้าง S-Adenosyl-Methionine (ADO-MET)

● จากนั้น ADO-MET จะถูกเปลี่ยนเป็น ACC (Amino-Cyclopropane Carboxylate) ซึ่งเป็นสารขั้นกลางสำำคัญ

● เมื่อมีปฏิกิริยาเพิ่มเติม (Enzymatic Reaction) ACC จะเปลี่ยนไปเป็นเอทิลีน (Ethylene) พร้อมเกิดผลพลอยได้ เช่น CO2, HCN (ไฮโดรเจนไซยาไนด์ : Hydrogen cyanide , และ H2O.

คำอธิบาย: “Ethylene enhances and prolongs latex flow and latex regeneration.”

● “เอทิลีน (Ethylene) ช่วยเพิ่มและยืดระยะเวลาการไหลของน้ำยาง และช่วยให้ต้นยางฟื้นตัวเพื่อสร้างน้ำยางใหม่ได้เร็วขึ้น”

○ กล่าวคือ เอทิลีนช่วยกระตุ้นให้ต้นยางผลิตน้ำยางได้มากขึ้น (Latex Flow) และยังช่วยให้ต้นยางสามารถสร้างน้ำยางรอบใหม่ได้ต่อเนื่อง และยาวนานกว่าเดิม (Latex Regeneration)

รายละเอียดการทดลอง

○ การทดลองนี้จัดขึ้นที่จังหวัดตราด ประเทศไทย

○ ใช้ทดลองกับต้นยางพาราที่มีสภาพเสื่อมโทรม (degraded) หรือให้ผลผลิตลดลง

○ ทำการฉีดพ่น NANO-SOS ทุกๆ 10 วัน

○ เก็บข้อมูลปริมาณน้ำ้ำ ยางทั้งก่อนและหลังเริ่มใช้ NANO-SOS

○ ระยะเวลาการทดลองตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 ถึง 30 พฤศจิกายน 2566

สรุป: เป็นการทดสอบภาคสนามเพื่อดูผลของ NANO-SOS ในการฟื้นฟูต้นยางที่เสื่อมโทรม โดยเก็บข้อมูลเทียบกันก่อนและหลังการใช้สาร

ผลการทดลอง :

“Rubber yield were significantly higher in after used as compared to the before used.”

● หมายถึง “ปริมาณผลผลิตน้ำยาง (Rubber yield) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเปรียบเทียบ หลังใช้ NANO-SOS กับ ก่อนการใช้”

● มีการแสดงผลเป็นกราฟให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน (g/t/t คือกรัมต่อต้นต่อครั้งที่กรีด) ระหว่างช่วง ก่อนใช้ และหลังใช้ แต่ละครั้งที่ทำการกรีด (Tapping1–Tapping12)

● มี 2 ชุดทดลอง (rep1 และ rep2) เพื่อความน่าเชื่อถือในการทำซ้ำ (Repetition)

สรุป: ผลการทดลองแสดงว่า NANO-SOS ช่วยเพิ่มผลผลิตน้ำยาง ได้จริงอย่างมีนัยสำคัญ

ประโยชน์ที่ได้รับ เมื่อใช้ เซนเดอร์

1. Increase the amount of rubber production.

    ○ “เพิ่มปริมาณการผลิตน้ำยาง”

    ○ เป็นผลลัพธ์หลัก ที่เห็นได้ว่า ต้นยางให้น้ำยางและน้ำหนักมากขึ้น

2. Reduce the use of chemicals to increase productivity, such as ethephon.

     ○ “ช่วยลดการใช้สารเคมีที่ใช้กระตุ้นให้ต้นยางให้ผลผลิตมากขึ้น เช่น เอทีฟอน (ethephon)”

     ○ Ethephon เป็นสารเคมีที่นิยมใช้กระตุ้นการไหลของน้ำ ยาง แต่การใช้บ่อยเกินไปอาจมีผลข้างเคียง ทำให้ต้นยางเสื่อมเร็ว

     ○ เมื่อใช้ NANO-SOS แทน จึงช่วยลดการพึ่งพาเคมีที่อาจเป็นอันตรายต่อทั้งต้นยาง ผู้กรีด และสิ่งแวดล้อม

3. Stimulate plant immune and increase growth and yield.

  • “กระตุ้นภูมิคุ้มกันของพืช และส่งเสริมการเจริญเติบโตและผลผลิต”
  • NANO-SOS ทำหน้าที่เป็นทั้ง Elicitor (สารกระตุ้นภูมิคุ้มกัน) และ Precursor (สารตั้งต้นในการสร้างน้ำยาง) จึงช่วยให้พืชแข็งแรงขึ้นและให้ผลผลิตสูงขึ้น

สรุปภาพรวม

  • NANO-SOS ช่วยกระตุ้นกระบวนการสร้างเอทิลีน ทำให้เพิ่มการผลิตและการไหลของน้ำยาง
  • ป้องกันโรคเชื้อรา หลากหลายชนิด ด้วยการ
  • บำรุงรักษาหน้ายาง
  • เปลือกนิ่มกรีดง่าย
  • บำรุงรักษาหน้ายาง
  • ดูแลรักษาแผลเก่า สมานแผลใหม่ให้แข็งแรง
  • หน้ายางไม่แห้ง ชุมชื่น ไม่ดำ ไม่ตายนึ่ง
  • ปลอดภัย ไร้สารเคมี เพราะเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ




    ● การทดลองในต้นยางพาราที่เสื่อมโทรมแสดงให้เห็นชัดเจนว่า เมื่อฉีดพ่น NANO-SOS สม่ำเสมอ ต้นยางให้ผลผลิตน้ำ้ำ ยางเพิ่มขึ้น และยังช่วยลดการใช้สารเคมีประเภทกระตุ้น เช่น Ethephon

   ● นอกจากนั้น ยังส่งเสริมภูมิคุ้มกันและการเจริญเติบโตของพืช ทำำให้ต้นยางแข็งแรงขึ้นและสามารถให้ผลผลิตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว


วิธีใช้

  • เตรียม แปลงทาสีใหม่ (แนะนำเป็นแปลทาสีสำหรับสีน้ำมัน) ชนาด 1.5 นิ้ว
  • นำ เซนเดอร์ ใส่ภาชนะสะอากสะอาด ปากกว้าง เพียงพอให้ แปลงสามารถจุ่มลงไปเพื่อซึม เซนเดอร์ ขึ้นมา
  • ทาเซนเดอร์บริเวณรอยกรีด ตามแนวรอยกรีด ทาขึ้นมาประมาณ 2-3 นิ้ว ทาจนทั่วแนว ทาไปทามาสัก 5-8 เที่ยว จนหน้ายางชุ่มชื่น
  • ช่วงแรก ถ้าหน้ายางแห้งมากๆ แนะนำ ทาทุก 7 วัน ประมาณ 3-4 ครั้ง จนสังเกตว่า หน้ายางดีขึ้น ก็เพิ่มเป็น 10 วัน ต่อรอบ
  • ใช้ได้ กับต้นยาง ทุกอายุ
  • ปลอดภัยทั้งผู้ใช้ และ ต้นยาง เพราะสกัดมาจากสารธรรมชาติ.
  • 1 ขวด (1 ลิตร) ทาได้ ประมาณ 550 - 650 ต้น


หากทีข้อสงสัย ติดต่อสอบถามกับผู้ที่นำ เซนเดอร์ มาให้ท่านใช้ได้เลย.

สนใจ เซนเดอร์

Click

เป็นความร่วมมือ จากหลายหน่วยงาน เช่น

คำยืนยันจากผู้ที่ได้ใช้ เซนเดอร์

ลุงชาญ (เชียงราย, ภาคเหนือ)
“ก่อนหน้านี้ เจอปัญหาหน้ายางตายนึ่งจนเกือบโค่นสวน โชคดีมีคนแนะนำ ‘เซนเดอร์’ พอทาแล้ว ต้นยางฟื้นตัวดี น้ำยางไหลได้สม่ำเสมอ ตัดขายได้เยอะกว่าเดิม รู้สึกคุ้มค่าที่ได้ลองจริง ๆ”

ป้าเยาว์ (เลย, ภาคอีสาน)
“สวนยางหยุดเติบโต หน้ายางแข็งเป็นแผ่น แถมยางไม่ไหลเกือบทั้งแปลง

หันมาใช้ เซนเดอร์ ตามคำบอกต่อ ของเขาดีจริง สังเกตน้ำยางไหลดี ขายได้ราคาเพิ่มขึ้น เรียกว่าช่วยชีวิตสวนได้เลย”


น้ากล้า (บุรีรัมย์, ภาคอีสาน)
“เคยเจอปัญหาหน้ายางยุบแข็ง เหมือนจะกรีดไม่ออก ลอง ‘เซนเดอร์’ แค่ 2 อาทิตย์ ยางกลับมานิ่ม กรีดง่าย น้ำหนักยางดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผลผลิตเพิ่ม เผลอ ๆ รายได้พุ่งเป็นเท่าตัว”

ลุงปรีดา (จันทบุรี, ภาคตะวันออก)
“ยางผมช่วงหนึ่งแทบไม่ไหล พอใช้ Sender สูตรนาโน พ่นแล้วเหมือนเปิดทางให้ยางไหลสะดวก ตัดกี่วันก็ได้เนื้อดี เปลือกไม่ฉีก ช่วยลดปัญหาตายนึ่งยาว ๆ ผมยกให้เป็นตัวช่วยเบอร์หนึ่งตอนนี้”

คุณแดง (ชลบุรี, ภาคตะวันออก)
“กังวลใจมานานเรื่องตายนึ่ง ส่งผลให้เก็บน้ำยางไม่คุ้มทุน พอเปลี่ยนมาใช้ Sender กลับได้เห็นน้ำยางเพิ่มขึ้นชนิดที่ไม่เคยเจอมาก่อน ประทับใจมาก จะใช้ตลอดไปแน่นอน”

ป้าแต๋ว (สุราษฎร์ธานี, ภาคใต้)
“ได้น้ำยางต่อครั้งน้อยลงจนใจเสีย มารู้จัก Sender ก็เลยลองใช้ดู อาการแห้งของหน้ายางลดลงทันตาเห็น ตอนนี้กรีดได้ปกติ และได้น้ำหนักดีขึ้นมาก ช่วยรักษาหน้ายางได้จริง ๆ”

คุณน้อย (ตรัง, ภาคใต้)
“ยางไม่ค่อยให้ผลผลิตมาหลายฤดูกาล ใช้ Sender ราว 2–3 ครั้ง หน้ายางไม่แข็ง ยังคงยืดหยุ่นดี กรีดง่าย ต้นไม่โทรม บอกเลยใครยังไม่เคยใช้ ต้องลอง แล้วจะรู้ว่ามันช่วยได้มากแค่ไห

ลุงอ้วน (นครศรีธรรมราช, ภาคใต้)
“ผมชอบตรง Sender ไม่กัดหน้ายาง น้ำยางไม่เสีย ปัญหาตายนึ่งค่อย ๆ หายไป พอกรีดก็ลื่นมือ น้ำยางออกเยอะทุกเช้า รายรับสวนยางเลยกลับมาดีอีกครั้ง ประทับใจจริง ๆ ครับ”

คำถามที่พบบ่อย

FAQs

Q: “เซนเดอร์” คืออะไร?

A: เซนเดอร์ เป็นผลิตภัณฑ์สารเสริมประสิทธิภาพพืช ที่พัฒนาขึ้นเพื่อแก้ปัญหาหน้ายางตายนึ่งและกระตุ้นการหลั่งน้ำยางในต้นยางพารา โดยใช้สารออกฤทธิ์ในกลุ่ม Nano-Synoligosaccharide (Nano-SOS)

Q: “เซนเดอร์” ช่วยแก้ปัญหาหน้ายางตายนึ่งได้อย่างไร?

A: เมื่อทาหรือพ่น เซนเดอร์ บริเวณหน้ายาง สารกระตุ้น (Elicitor) ในผลิตภัณฑ์จะกระตุ้นการไหลของน้ำยาง และฟื้นฟูให้หน้ายางอ่อนนุ่ม ลดการเกิดตายนึ่ง ทำให้ต้นยางสามารถสร้างและหลั่งน้ำยางได้ดีขึ้นอย่างแน่นอน

Q: ต้องใช้ “เซนเดอร์” บ่อยแค่ไหน?

A: โดยทั่วไป แนะนำให้พ่นหรือทาบริเวณหน้ายางพาราเป็นประจำทุก 7–10 วัน หรือตามคำแนะนำของผู้ผลิต หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการกรีดยาง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต่อเนื่อง

Q: “เซนเดอร์” ต่างจากสารกระตุ้นอื่น ๆ อย่างไร?

A: เซนเดอร์ ไม่มีสารเคมีที่ก่อให้เกิดพิษต่อต้นยางพารา ไม่ทำให้ยางยืนต้นตาย อีกทั้งใช้โมเลกุลโอลิโกแซ็กคาไรด์ขนาดเล็ก ทำให้ดูดซึมได้ง่าย ออกฤทธิ์รวดเร็ว และลดปัญหาการใช้สารเคมีรุนแรงในระยะยาว

Q: ใช้ “เซนเดอร์” แล้วจะต้องลดการใช้สารเคมีกระตุ้นน้ำยางอื่น ๆ หรือไม่?

A: ผลิตภัณฑ์ เซนเดอร์ ช่วยกระตุ้นน้ำยางและไม่ต้องพึ่งสารเคมีแรง ๆ อย่างเช่นกลุ่ม เอทีฟอน ดังนั้นสามารถยกเลิก การใช้สารเคมีอื่น ๆ ได้ และยังช่วยต้นยางฟื้นตัวเร็วขึ้น

Q: การใช้ “เซนเดอร์” กับต้นยางที่ตายนึ่งแล้ว ได้ผลจริงหรือ?

A: หากหน้ายางยังไม่เสียหายรุนแรงจนถึงแก่น สามารถช่วยฟื้นฟูให้หน้ายางกลับมาให้ผลผลิตได้ โดยสารใน เซนเดอร์ ช่วยกระตุ้นการสร้างน้ำยางใหม่ และช่วยสมานแผลหน้ายาง

Q: ใช้ “เซนเดอร์” แล้วมีผลต่อสุขภาพของผู้กรีดหรือไม่?

A:  เซนเดอร์ ปลอดภัยกว่าสารเคมีกระตุ้นแบบทั่วไป เพราะไม่มีสารตกค้างรุนแรงที่ก่อให้เกิดอันตราย อย่างไรก็ดี ควรสวมอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) ขณะใช้งาน เช่น ถุงมือ หน้ากาก ป้องกันการแพ้หรือระคายเคือง

Q: สามารถใช้ “เซนเดอร์” กับพืชอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ยางพาราได้หรือไม่?

A:  ปัจจุบัน เซนเดอร์ พัฒนาสูตรมาเฉพาะกับยางพารา เพื่อแก้ปัญหาและกระตุ้นการไหลของน้ำยาง หากต้องการใช้กับพืชชนิดอื่น ควรปรึกษาผู้ผลิตหรือผู้เชี่ยวชาญก่อน

Q: ผลิตภัณฑ์ “เซนเดอร์” มีวิธีใช้ที่ซับซ้อนหรือไม่?

A: ไม่ซับซ้อน เพียงทาหรือพ่นบาง ๆ บริเวณหน้ายางหลังการกรีด หรือก่อนกรีด ตามรอบเวลาที่แนะนำ โดยไม่ต้องผสมอะไรเลย  แค่นี้ก็เพียงพอ